ชั่วฟ้าดินสลาย Eternity (2010) ในปี พ.ศ. 2475 ยุพดี (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ม่ายสาวหัวสมัยใหม่จากพระนคร เธอรักการอ่านหนังสือ รักดนตรี และศิลปะร่วมสมัยเป็นอย่างยิ่ง และจากอาชีพเลขานุการที่ทำให้เธอสมาคมกับชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย ทำให้แนวความคิดของเธอสมัยใหม่กว่าสตรีชาวสยามในยุคสมัยนั้น ยุพดีกำพร้าทั้งบิดามารดา เธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้ส่วนลึกในใจของเธอนั้นแสวงหาซึ่งความรัก แล้วเธอได้สมรสกับ “พะโป้” (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) คหบดีม่ายชาวพม่าอายุคราวพ่อ ผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้านายชั้นสูงในรัฐฉาน เจ้าของกิจการป่าไม้อันมั่งคั่งแห่งกำแพงเพชร มีนางบำเรอหลายสิบนางอยู่ในอาณาจักรแห่งเขาท่ากระดานของเขา ทั้งคู่ได้เดินทางไปใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาที่ปางไม้เขาท่ากระดาน ซึ่งยุพดีคิดว่าชีวิตของเธอได้ถูกเติมเต็มแล้วในทุกๆ ด้านจาก “พะโป้” สามีที่เธอรัก
เมื่อยุพดีได้มาพบเจอกับ “ส่างหม่อง” (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) หนุ่มพม่าผู้หล่อเหลาแต่แสนบริสุทธิ์ในกามโลกีย์ผู้เป็นหลานชายของพะโป้ ส่างหม่องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็กและได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากพะโป้ผู้เป็นอา ทำให้เขาเคารพรักและบูชาพะโป้ประดุจบิดา และ “ทิพย์” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ชายชาวพระนครวัยกลางคน ผู้ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เขาเป็นผู้จัดการปางไม้ของพะโป้ที่เขาท่ากระดาน ทิพย์เป็นคนเปิดเผยซื่อตรง และน่าเชื่อถือ ทำให้พะโป้ไว้วางใจเขายิ่งนัก
“มะขิ่น” (ดารณีนุช โพธิปิติ) เป็นอดีตนางบำเรอเอกของพะโป้ที่ถูกปลดระวางไปเป็นแม่บ้านในอาณาจักรปางไม้เขาท่ากระดาน เธอรักและซื่อสัตย์ต่อพะโป้อย่างสุดจิตสุดใจ แม้จะถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี นั่นทำให้มะขิ่นรู้สึกอิจฉาที่ยุพดีเข้ามาเป็นนายหญิงคนใหม่และได้ครองทั้งตัวและหัวใจของพะโป้ไปเสียทั้งหมด ส่างหม่องและยุพดีต่างก็เกิดความเสน่หาต่อกัน ยิ่งทั้งคู่ได้ชิดใกล้กันมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดอาการหวั่นไหว และอยากอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่านั้นตามสัญชาตญาณหนุ่มสาวที่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ
ในที่สุด ทั้ง “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” ก็มิอาจต้านทานความปรารถนาของตนและยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหาอย่างถึงที่สุด ทั้งคู่ก้าวล้ำเส้นของการเป็นหลานและอาสะใภ้โดยลอบเป็นชู้กัน และแล้วเมื่อพะโป้ได้ล่วงรู้ความจริงอันน่าอัปยศเช่นนี้ เขาดูเหมือนจะสงบนิ่งอย่างผู้ผ่านประสบการณ์และเข้าใจโลกยิ่งนัก แต่จริง ๆ แล้วในใจเขากลับร้อนรุ่มด้วยโทสะจริต อย่างไม่คาดฝัน พะโป้ตัดสินให้ยุพดีเมียสุดที่รักได้อยู่กินกับส่างหม่องหลานรักอย่างเปิดเผย ภายใต้เงื่อนไขอันแสนโหดร้ายด้วยการล่ามโซ่ตรวนคล้องแขนติดกัน
ในเวลาต่อมา ส่างหม่องและยุพดี หมดความอดทน ต้องการที่จะปลดโซ่ตรวนออก แต่พะโป้ไม่ยอมปลดออก ทั้งคู่จึงหนีตายดาบหน้า จากบ้านผาจันไปที่ปางนางรอ ใกล้ปางช้าง ทุกคนพากันตามหา ไล่ตามจับได้ ต่อมายุพดีได้ตั้งท้องกับส่างหม่อง ทั่งคู่จึงเข้าไปหาพะโป้ เพื่อขอกุญแจปลดโซ่ตรวนออก พะโป้จึงเสนอทางออกให้ด้วยปืน ส่างหม่องได้เลือกทางนั้น โดยยุพดีเต้นรำกับส่างหม่องเป็นครั้งสุดท้าย ส่างหม่องให้ยุพดียิงเขา แต่ยุพดียิงตัวเองตายแทน
ส่างหม่องอุ้มร่างยุพดีมาเพื่อรับกุญแจ แต่พะโป้กล่าวว่า “ชั่วฟ้าดินสลาย” ทิพย์ทนไม่ได้ที่เห็นเป็นแบบนี้ จึงเข้าไปขอกุญแจกับพะโป้ พะโป้กลับปฏิเสธ ส่างหม่องจึงนอนกับร่างศพของยุพดี เช้ารุ่งขึ้น ร่างของยุพดีเน่าเปื่อย ส่างหม่องตกใจเสียงดัง มะขิ่นจึงเอาดาบมาฟันมือของยุพดี ส่างหม่องวิ่งเตลิดเปิดเปิง กระเจิดกระเจิง กระเซอะกระเซิง คล้ายเป็นคนบ้า เข้าป่าหายไป และร่างศพของยุพดีก็ฝังอยู่ในป่าโดยไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ในที่สุดพะโป้ได้นำส่างหม่องกลับมา หลังจากที่หายเข้าป่าไปหลายวัน
10 ปีต่อมา ใน พ.ศ. 2486 “นิพนธ์” (เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล) นักเขียนหนุ่มวัย 35 ประจำที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติ รายวันและรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์อันเป็นที่นิยมใน พุทธศักราช 2486 บิดามารดาของเขามีอาชีพค้าไม้ ทำให้ครอบครัวของเขาได้ทำธุรกิจ และสนิทสนมกับพะโป้ ในวันหนึ่ง เมื่อเขากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่กำแพงเพชร ได้รับการเชิญจากพะโป้ให้เข้าป่าล่าสัตว์ที่ค่ายพักเขาท่ากระดาน ในระหว่าที่ได้พักนั้น เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญก้องจากป่า ทำให้นิพนธ์สงสัย จึงไปถามทิพย์ นิพนธ์ได้รับรู้เรื่องราวอันน่าพิศวงในโศกนาฏกรรมรักของส่างหม่องและยุพดี ที่มีกิเลสตัณหาเป็นที่ตั้ง อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ให้นิพนธ์ได้รับรู้ ซึ่งเป็นเรื่องราวจากปากของทิพย์